หากจะกล่าวถึง‘การแข่งขันกอล์ฟล่าสุด’ คงจะไม่มีใครลืมทัวร์นาเม้นต์นี้แน่ๆ นั่นคือ การแข่งขันLIV GOLF รายการแข่งขันที่ก่อตั้งและได้รับการสนับสนุนเงินทุนจาก Public Investment Fund หรือกองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐของประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยกองทุนแห่งนี้ถือเป็นกองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐที่มีทรัพย์สินมากที่สุดในโลก คืออยู่ที่ราว
6.2 แสนล้านบาท หรือ 21 ล้านล้านบาท ซึ่ง Public Investment Fund หรือ PIF ได้ลงทุนจำนวนมากสู่วงการกีฬาตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมาเลยทีเดียวค่ะ
นอกจากนี้ LIV Golf Invitational Series จะแข่งขันเพียงแค่ 8 สนาม ภายในระยะเวลา 3 เดือน เพื่อชิงเงินรางวัลที่สูงถึง
225 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบ 8,000 ล้านบาท โดยเพื่อทำให้มันเป็นการแข่งขันระดับโลกอย่างแท้จริง LIV GOLF จะตระเวนการแข่งขันไปยัง 3 ทวีป คือ ยุโรป, อเมริกาเหนือ และเอเชีย โดยสนามที่ 6 ของการแข่งขัน จะมาจัดกันที่สนามกอล์ฟสโตนฮิลล์ จังหวัดปทุมธานี ประเทศไทยอีกด้วยค่ะ
สำหรับรายละเอียดของการแข่งขันแต่ละสนามของ LIV GOLF มีความน่าสนใจมาก เนื่องจากแตกต่างจากการแข่งขันกอล์ฟทั่วไปที่หนึ่งสนามจะตัดสินกันในการแข่งขันทั้งหมด 72 หลุม หรือ 4 วัน แต่ LIV GOLF จะลดลงมาเหลือเพียง
54 หลุม หรือเพียง 3 วันเท่านั้น นี่จึงนำมาสู่การใช้ชื่อของการแข่งขันว่า LIV GOLF เพราะ LIV ตามภาษาโรมันมีความหมายเท่ากับ 54 (L = 50, IV = 4)
LIV GOLF ยังเพิ่มจุดขายด้วยการยกเลิกการปล่อยตัวนักกอล์ฟลงสู่สนามแบบเป็นรอบ โดยในการแข่งขันรายการนี้ นักกอล์ฟทั้ง 48 คนจะลงสนามพร้อมกันหมด ซึ่งแต่ละคนจะเริ่มแข่งขันในหลุมที่แตกต่างกันไป ซึ่งไม่จำเป็นที่นักกอล์ฟต้องเริ่มการแข่งขันที่หลุม 1 แล้วไล่ไปจบที่หลุม 18 เหมือนเดิมอีกต่อไป เพื่อให้นักกอล์ฟออกสตาร์ทในหลุมที่แตกต่างกัน
การกำหนดให้ผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดลงสนามพร้อมกันก็เป็นไปได้โดยง่าย และช่วยให้เวลาแข่งขันโดยรวมกระชับขึ้นด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ยังไม่มีการตัดตัวนักกอล์ฟที่ทำสกอร์ได้แย่ออกไประหว่างการแข่งขัน หมายความว่าทุกคนที่ลงเล่นในแต่ละรายการของ LIV GOLF จะได้เล่นครบทั้ง 3 วันอย่างแน่นอน หากไม่บาดเจ็บหรือเกิดเหตุใดให้ต้องถอนตัวไปก่อน
ในการแข่งขันในรูปแบบรายบุคคลจะดำเนินไป 7 สนาม โดยในแต่ละสนามจะมีเงินรางวัลอยู่ที่ 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
หรือราว 880 ล้านบาท โดยจะถูกแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรก 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะถูกแบ่งลงไปตามอันดับของนักกีฬาที่จบการแข่งขันในแต่ละสนาม ซึ่งผู้ชนะจะคว้าเงินรางวัล 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 140 ล้านบาท ขณะที่ส่วนที่สองคือเงิน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะเก็บไว้ให้กับ 3 ทีมที่ทำคะแนนได้ดีที่สุดในแต่ละสนามเท่านั้น
หลังจากเมื่อจบการแข่งขันทั้งหมด 7 สนาม นักกอล์ฟที่มีคะแนนดีที่สุด 3 อันดับแรกจะได้รับเงินรางวัลพิเศษไปครอบ
ครอง โดยเจ้าของตำแหน่งแชมป์จะได้เงินรางวัลเป็นจำนวน 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 634 ล้านบาท ส่วนอันดับสองและสามจะได้รับเงินรางวัล 8 และ 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐตามลำดับ ซึ่งเมื่อรวมเงินรางวัลพิเศษทั้งหมดเข้าด้วยกัน LIV GOLF จะมอบเงินรางวัลตรงนี้เป็นมูลค่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมากกว่า 1,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ LIV GOLF ยังมีซิกเนเจอร์ สนามที่ 8 ที่ไม่เหมือนใคร นั่นก็เพราะสนามที่ 8 หรือสนามสุดท้ายของทัวร์นาเมน
ต์นี้ ซึ่งจะเป็นการแข่งขันประเภททีมที่แบ่งนักกอล์ฟ 48 คน เป็น 12 ทีม เพื่อลงชิงชัยตลอด 4 วัน โดยจะค้นหาทีมเพียงหนึ่งเดียวที่จะชนะการแข่งขัน โดยการแข่งขันแบบทีมในสนาม 8 ซึ่งจะเกิดขึ้นที่เมืองไมอามี่ รัฐฟลอริด้า จะมีเงินรางวัลสูงถึง 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1,760 ล้านบาทให้แย่งชิง
สำหรับทุกทีมที่ลงแข่งขันจะได้การการันตีเงินรางวัลตรงนี้ คือ ทีมผู้ชนะจะได้รับเงินรางวัลสูงสุด 16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 563 ล้านบาท ก่อนจะลดหลั่นลงไปตามอันดับ ซึ่งอันดับสุดท้ายก็จะไม่กลับบ้านมือเปล่า เนื่องจากมีเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 35 ล้านบาท เป็นค่าตอบแทนอีกด้วยค่ะ
การแข่งขันกอล์ฟล่าสุด มีใครลงทัวร์นาเม้นต์นี้บ้าง ?

สำหรับการแข่งขัน กอล์ฟ แอลพีจีเอ ทัวร์ จะถึงคิวของศึกใหญ่ในรายการ “เคพีเอ็มจี วีเมนส์ พีจีเอ แชมเปียนชิพ” เมเจอร์ที่ 3 ของปี ชิซึ่งงเงินรางวัลรวม 9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 320 ล้านบาท ที่สนาม คอนเกรสชันแนล คันทรี คลับ บลูคอร์ส ระยะ 6,831 หลา พาร์ 72 ในเบเธสดา รัฐแมรี่แลนด์ ในประเทศสหรัฐอเมริกา
ในรายการนี้มีโปรสาวไทยเข้าร่วมการแข่งขัน 8 ราย ประกอบด้วย สองพี่น้องจุฑานุกาล “โปรโม” โมรียา และ “โปรเม” เอรียา, “โปรเหมียว” ปภังกร ธวัชธนกิจ, “โปรจีน” อาฒยา ฐิติกุล, “โปรเมียว” ปาจรีย์ อนันต์นฤการ, “โปรจูเนียร์” ธิฎาภา สุวัณณะปุระ, “โปรแจน” วิชาณี มีชัย และ”โปรแหวน” พรอนงค์ เพชรล้ำ
นอกจากนี้เมื่อนับจากเมเจอร์ทั้ง 5 รายการแล้ว ก้านเหล็กสาวไทยเคยคว้าแชมป์ 3 รายการ แบ่งเป็น “โปรเม” ได้แชมป์ วีเมนส์ บริติช โอเพ่น ปี 2016 และ ยูเอส วีเมนส์ โอเพ่น ปี 2018 ขณะที่ “โปรเหมียว” ได้แชมป์ เอเอ็นเอ อินสไปเรชัน เมื่อปี 2021 แต่ยังไม่เคยมีใครคว้าแชมป์รายการนี้ รวมถึง เอวิยอง แชมเปียนชิพ
สำหรับนักกอล์ฟไทยที่ทำผลงานรายการนี้ได้ดีที่สุดคือ “โปรเม” เอรียา ที่เคยได้อันดับ 3 ในปี 2016 และ “โปรเหมียว” ที่คว้าอันดับ 5 ร่วมเมื่อปีที่แล้ว ส่วน “โปรจีน”ที่เพิ่งเป็นสมาชิก แอลพีจีเอ ทัวร์ แบบเต็มตัวฤดูกาลแรก ยังไม่เคยเข้าร่วมการแข่งขันมาก่อน แต่จากฟอร์มในรายการล่าสุดที่ได้อันดับ 5 ร่วมศึกมายเออร์ แอลพีจีเอ คลาสสิค เมื่อสัปดาห์ที่แล้วทำให้โปรวัย 19 ปีที่เป็นมือวางอันดับ 5 ของโลกและได้รับการจับตามองจากคนทั่วโลกเช่นกันค่ะ
การนับคะแนนกีฬากอล์ฟ

สำหรับนักกอล์ฟมือใหม่หรือแม้แต่คนที่ยังไม่รู้จักกีฬากอล์ฟนั้น อาจเคยสงสัยว่า เวลาที่ผู้บรรยายขานแต้มและนับคะแนน คำว่า พาร์ ,เบอร์ดี้ คืออะไรกันแน่ แล้วกีฬากอล์ฟชนิดนี้สามารถนับคะแนนกันอย่างไร บทความนี้มีคำตอบค่ะ
ในการตีกอล์ฟเราจะเรียกว่าจำนวนครั้งที่ตีออกไปว่า สโตรค (Stroke) และหลุมแต่ละหลุมในสนามจะมีการกำหนดมาตรฐานจำนวนครั้งที่ตี เรียกว่า พาร์(Par) โดยพิจารณาจากความยากง่ายของหลุมนั้น ๆ เพื่อกำหนดให้ผู้เล่นตีให้ได้เท่ากับจำนวนแต้มมาตรฐาน ซึ่งในแต่ละหลุมจะแบ่งออกได้ดังนี้
หลุมแรกที่ระบุว่าเป็นหลุมพาร์ 3 (Par 3) โดยทั่วไปจะมีความยาวประมาณ 150-180 หลา ในระดับสมัครเล่นหรือเกิน 200 หลาสำหรับมือแข่งขัน ถ้าผู้เล่นตีออกจากแท่นตีจนกระทั่งลูกลงหลุมในจำนวนตี 3 ครั้งก็เท่ากับว่ามีความสามารถที่ตีได้เท่ากับแต้มมาตรฐานของหลุมนี้ เรียกว่าทำพาร์ได้
ต่อมาหลุมที่ระบุว่าเป็นหลุมพาร์ 4 (par 4) ทั่วๆ ไปมีความยาวตั้งแต่ 300 กว่าหลาถึง 400 กว่าหลาในระดับสมัครเล่น ถ้าผู้เล่นตีออกจากแท่นตีจนกระทั่งลูกลงหลุมในจำนวนตี 4 ครั้งก็เท่ากับว่ามีความสามารถที่ตีได้เท่ากับแต้มมาตรฐานของหลุมนี้ เรียกว่าทำพาร์ได้
ถัดมาเป็นหลุมที่ระบุว่าเป็นหลุมพาร์ 5 (par 5) มีความยาวเกิน 500 หลาขึ้นไป ถ้าผู้เล่นตีออกจากแท่นตีจนกระทั่งลูกลงหลุมในจำนวนตี 5 ครั้งเท่ากับว่ามีความสามารถที่ตีได้เท่ากับแต้มมาตรฐานของหลุมนี้ เรียกว่าทำพาร์ได้
ซึ่งสามารถสรุปได้ว่าถ้าพาร์ 3 ตี 3 ครั้งลงหลุมคือได้พาร์ และพาร์ 4 ตี 4 ครั้งลงหลุมก็คือได้พาร์ นั่นเอง
ซึ่งเมื่อนักกอล์ฟตีครบทั้ง 18 หลุมแล้ว แต้มรวมใครต่ำที่สุดถือว่าเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในการแข่งขันนั้นๆ ยิ่งถ้าเราตีได้จำนวนครั้งน้อยเท่าไหร่ เราก็ถือว่าเก่งหรือมีโอกาสที่จะชนะคนอื่นๆ นั่นเอง
ส่วนแต้มมาตรฐานของสนาม (Par of the course) ส่วนใหญ่ในระดับสมัครเล่นนั้นจะเท่ากับ 72 แต้ม ส่วนสนามที่มีแต้มมาตรฐานรวม 71 หรือ 70 คณะกรรมการจัดการแข่งขันอาจจะใช้การปรับลดหลุมที่เป็นพาร์ 5 ลงไปเป็นหลุมพาร์ 4 จำนวนหนึ่งหรือสองหลุมเพื่อเพิ่มความท้าทายให้กับผู้เล่นอีกด้วยค่ะ
สำหรับคำที่ใช้เรียกแต้มรวมทั้งหมดที่ตีได้สำหรับสนามที่มีแต้มมาตรฐานรวมเท่ากับ 72 ที่เราจะคุ้น ๆ และใช้กันอยู่ในเวลานี้ก็คือ ถ้าผู้เล่นตีได้ 72 แต้ม เรียกว่า ‘สแควร์พาร์’ (square par) ถ้าผู้เล่นตีได้ ต่ำกว่า 72 แต้ม เรียกว่า ‘อันเดอร์พาร์’ (under par) ถ้าผู้เล่นตีได้ เกิน 72 แต้ม เรียกว่า โอเวอร์พาร์ (over par) หากผู้เล่นตีได้ 70 แต้ม เรียกว่า -2 หรือ สองอันเดอร์พาร์ และถ้าผู้เล่นตีได้ 74 แต้ม เรียกว่า +2 สองโอเวอร์พาร์ เป็นต้น
อีกศัพท์ที่มักได้ยิน เช่น อีเกิ้ล (Eagle), เบอร์ดี้ (Birdie), โบกี้ (Bogey) หรือดับเบิ้ลโบกี้ (Double Bogey) เป็นต้น ซึ่งคำเหล่านี้จะเรียกแทนคะแนนที่ทำได้ในแต่ละช็อตของการเล่นในหลุมนั้น ๆ ยกตัวอย่างเช่น
- เบอร์ดี้ (Birdie) จะเรียกเมื่อเวลานักกอล์ฟตีได้ต่ำกว่าแต้มมาตรฐานของแต่ละหลุม (พาร์) ไป 1 สโตรค อย่างเช่นพาร์ 4 เราตีเพียง 3 ครั้งลงหลุม
- อีเกิ้ล (Eagle) จะเรียกเมื่อเวลานักกอล์ฟตีได้ต่ำกว่าแต้มมาตรฐานของแต่ละหลุม (พาร์) ไป 2 สโตรค ซึ่งมักจะเห็นได้บ่อยในหลุมพาร์ 5 เช่นพาร์ 5 แต่เราตี 3 ครั้งลงหลุม
- โบกี้ (Bogey) จะเรียกเมื่อเวลานักกอล์ฟตีเกินกว่าแต้มมาตรฐานของแต่ละหลุม (พาร์) ไป 1 สโตรค เช่นพาร์ 4 แต่เราตี 5 ครั้งลงหลุม
- ดับเบิ้ลโบกี้ (Double Bogey) จะเรียกเมื่อเวลานักกอล์ฟตีเกินกว่าแต้มมาตรฐานของแต่ละหลุม (พาร์) ไป 2 สโตรค เช่นพาร์ 4 แต่เราตี 6 ครั้งลงหลุม และหากตีเพียงครั้งเดียวแล้วลงหลุมเลย มีชื่อเฉพาะเรียกว่า ‘โฮลอินวัน’ (Hole in one)
เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับ‘การแข่งขันกอล์ฟล่าสุด’ ที่ได้นำมาฝากกันในวันนี้ ทีนี้รู้แล้วใช่ไหมละคะว่าเขานับคะแนนกีฬากอล์ฟกันอย่างไร แหมแค่ได้ยินก็เริ่มคันไม้คันมืออยากจะหวดวงสวิงสักตั้งแล้วล่ะคะ ใครพร้อมแล้ว ไปหาสนามเพื่อฝึกซ้อมกันได้เลยค่ะ
Credit by :
https://www.livgolf.com/leaderboard
แทงบอลออนไลน์ ทางเข้า ufabet ภาษาไทย คาสิโนออนไลน์ เซ็กซี่ บาคาร่า บาคาร่า99 บาคาร่าออนไลน์ เว็บบาคาร่าสล็อตpg สล็อตเว็บตรง ไฮโลไทย ufabet168 ufabet เว็บตรง